คลังเก็บหมวดหมู่: ทั่วไป

สร้างแบรนด์ให้น่าจดจำ โดยใช้ความถี่

การทำการตลาดให้ประสบความสำเร็จนั้นจำเป็นต้องอาศัยการจดจำหรือการรับรู้แบรนด์ ลูกค้าต้องจำให้ได้ว่าคุณเป็นใคร และเราจำเป็นต้องสื่อสารให้ลูกค้าเกิดความเข้าใจในตัวตนของแบรนด์ ซึ่งอาจจะต้องอาศัยระยะเวลาและการทำซ้ำซึ่งผมขอเรียกมันว่า “ความถี่ในการทำการตลาด” หรือในอีกความหมายหนึ่ง “ความสม่ำเสมอในการทำการตลาด” ผมจะมาอธิบายให้ฟังว่าความถี่ในกาารทำการตลาดมีความสำคัญอย่างไร

1.ความถี่ระดับเริ่มต้น
เป็นความถี่แรกเริ่มที่เมื่อลูกค้าพบเห็นสินค้าหรือแบรนด์ของคุณครั้งแรก ลูกค้าอาจไม่ได้สนใจมากนักหรืออาจมองข้ามไปด้วยซ้ำ ซึ่งนักการตลาดหลายท่านมักจะตกม้าตายในระดับนี้คือเมื่อผลตอบรับออกมาไม่ดีในช่วงเริ่มต้นหลายคนมักจะล้มเลิก ซึ่งผมให้ระยะเวลาของระดับนี้อยู่ในช่วง 3 เดือนแรก

2.ระดับความถี่ที่สอง
เมื่อลูกค้าพบเห็นสินค้าหรือแบรนด์ของคุณไปสักระยะหนึ่ง จะเริ่มเกิดความสงสัยและอยากรู้ว่าสิ่งที่เราสื่อสารออกไปมันคืออะไรกันแน่ ลูกค้าบางรายอาจเกิดอาการรำคาญหากคุณสื่อสารแบรนด์หรือสินค้าออกไปไม่ตรงกลุ่มเป้าหมายซึ่งอาจส่งผลเสียกับแบรนด์ของคุณได้ เพราะระดับนี้จะส่งผลต่ออารมณ์ของลูกค้ามากเป็นพิเศษ ซึ่งคุณควรศึกษากลุ่มเป้าหมายของคุณให้ดีเสียก่อนว่าลูกค้ากลุ่มนี้คือกลุ่มที่จะใช้สินค้าของคุณหรือไม่ เช่น ยกทรง เหมาะกับลูกค้าผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย แต่เมื่อไหร่ที่ลูกค้าเริ่มเกิดความรำคาญให้คุณเพิ่มความถี่ในการประชาสัมพันธ์ให้มากขึ้นจนเข้าสู่ขั้น “ความเคยชิน”

3.ความถี่ระดับที่สาม
มีงานวิจัยออกมาว่า ลูกค้าส่วนใหญ่จะเริ่มตัดสินใจซื้อสินค้าชิ้นนั้นเมื่อเห็นซ้ำๆ ติดต่อกัน 3-7 ครั้ง ซึ่งมันก็ไม่เสมอไป ในกรณีที่แบรนด์ของคุณค่อนข้างจะโนเนมและยังไม่เป็นที่รู้จัก ทฤษฎีดังกล่าวอาจจะยังไม่ได้ผล ซึ่งคุณจำเป็นต้องผ่านการทำการตลาดทั้งสองความถี่แรกเสียก่อนเว้นแต่ว่าคุณคือผู้เล่นรายแรกในตลาดและยังไม่มีคู่แข่งในสินค้าประเภทเดียวกัน และเมื่อผ่านระดับนี้ไปได้แล้วแบรนด์หรือสินค้าของคุณจะเริ่มเข้าไปอยู่ในใจลูกค้าและมีโอกาสติดลมบนอย่างแน่นอน

ผมมีกรณีศึกษามายกตัวอย่างให้คุณได้เห็นภาพชัดเจนมากขึ้น คือ เครื่องดื่มโค้ก ไม่ว่าจะไปที่ไหนเรามักจะเจอโลโก้โค้กอยู่เป็นประจำ อาจจะแปะอยู่ตามป้ายร้านอาหาร นั่นหมายความว่า เครื่องดื่มโค้ก มีโอกาสเข้าไปอยู่ในใจลูกค้าค่อนข้างสูง เมื่อนึกถึงน้ำอัดลม แบรนด์แรกที่จะถูกนึกถึงก็คือ “โค้ก” เพราะเราพบเห็นอยู่ทุกวันและบ่อยมาก ซึ่งก็ตรงตามกฎการทำการตลาดแบบ “ความถี่” ที่ผมอธิบายมา ขอให้คุณโชคดีครับ

การบ้านท้ายบทความ ให้คุณลองบอกชื่อแบรนด์ของสินค้าประเภทต่างๆ ที่คุณรู้จักมาสักสิบประเภท เช่น น้ำอัดลม น้ำยาล้างจาน ผงซักฟอก เบียร์ ฯลฯ และอธิบายว่าทำไมจึงนึกถึงเป็นแบรนด์แรก

เว็บไซต์บริษัท ยังจำเป็นอยู่ไหม?

ในปัจจุบันโซเชียลมีเดียมีความสำคัญมากในชีวิตประจำวันของหลายๆ คน องค์กรหรือบริษัทต่างๆ ก็หันมาใช้ช่องทางนี้ในการประชาสัมพันธ์ธุรกิจกันมากขึ้น แล้วเว็บไซต์ของบริษัทหรือองค์กร ยังจำเป็นอยู่ไหม?

ช่วงนึงผมเคยไปเสนอทำเว็บไซต์ให้กับบริษัทแห่งหนึ่งแต่กลับโดนปฎิเสธ และให้เหตุผลกลับมาว่า “ยุคนี้คนเขาไม่เข้าเว็บไซต์กันแล้ว” ตอนได้ยินประโยคนี้ ผมนี่รีบอุทานในใจทันที “ห๊ะ!?”จริงดิ คนเขาไม่เข้าเว็บกันแล้วเหรอ ไม่ใช่มั้ง.. โซเชียลมีเดียที่ทุกคนเล่น ก็คือเว็บไซต์ และจำเป็นต้องมีเว็บเซอร์เวอร์ทำงานอยู่เบื้องหลัง แม้แต่การค้นหาข้อมูลในเสิร์ชเอนจิ้น Google เองก็ยังดึงเนื้อหาจากเว็บไซต์อื่น ๆ มาแสดง แล้วทำไมถึงยังมองว่าเดี๋ยวนี้คนเลิกเข้าเว็บไซต์กันแล้ว อันนี้เขาตอบด้วยความรู้จริง ๆ หรือแค่ต้องการปฎิเสธการขายของเรากันแน่!

ถ้ามีคนถามว่า “เว็บไซต์ยังจำเป็นอยู่ไหม?” ผมจะตอบกลับทันทีว่า “ตราบใดที่คุณยังใช้ Google ค้นหาข้อมูล เว็บไซต์ก็ยังคงมีความจำเป็น”

ทุกวันนี้เราค้นหาข้อมูลผ่าน Google กันทุกวันอยู่แล้ว แต่รู้หรือไม่ว่า Google ไม่ได้เป็นผู้สร้างเนื้อหาต่าง ๆ ด้วยตัวเอง แต่ใช้บอทไปดึงข้อมูลในหน้าเว็บไซต์อื่นมาแสดงผลแทน โดยดึงคีย์เวิร์ดที่ผู้คนต้องการค้นหาซึ่งอยู่ในหน้าเว็บไซต์ต่าง ๆ มาทำการแสดงผล ยกตัวอย่างเช่น เมื่อมีการค้นหาคำว่า “เครื่องสำอาง” Google จะไปดึงข้อมูลจากหน้าเว็บไซต์ที่มีคำว่า เครื่องสำอาง อยู่ในหน้านั้นมาแสดงผล นั่นหมายความว่าหากคุณทำธุรกิจขายเครื่องกรองน้ำและเมื่อลูกค้าค้นหาคำว่า “เครื่องกรองน้ำ” ก็มีโอกาสที่จะเจอเว็บไซต์ของคุณ

เว็บไซต์สามารถสร้างความน่าเชื่อถือและสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับธุรกิจของคุณ เพราะเดี๋ยวนี้ใคร ๆ ก็สร้างบัญชีโซเชียลมีเดียได้ง่าย ๆ  และการเผยแพร่ข้อมูลต่าง ๆ ก็ทำได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งข้อมูลที่ถูกเผยแพร่นั้นอาจยังไม่ได้รับการคัดกรองความถูกต้องใด ๆ มีโอกาสทำให้ลูกค้าเกิดความลังเลที่จะซื้อสินค้าหรือใช้บริการจากคุณ เว็บไซต์จะช่วยการันตีการมีตัวตนให้กับบริษัทของคุณได้

ถ้าคุณยังหวังพึ่งโซเชียลมีเดียอย่างเดียวแล้วละก็โยนความคิดนี้ทิ้งไปได้เลย เพราะโซเชียลมีเดียมีการปรับปรุงอัลกอริทึมอยู่ตลอดเวลา คุณไม่สามารถมั่นใจได้เลยว่าผู้คนจะยังคงเข้าถึงคอนเทนท์ของคุณได้ทั้งหมดหรือไม่โซเชียลมีเดียเองก็ต้องการรายได้ ซึ่งมีความจำเป็นต้องลดการมองเห็นคอนเทนท์ของคุณต่อผู้ติดตาม นั่นหมายความว่าคุณต้องจ่ายเงินซื้อโฆษณาเพื่อให้ลูกค้ามองเห็นคอนเทนท์ของคุณมากขึ้นนั่นเอง

อย่างไรก็ตามเว็บไซต์และโซเชียลมีเดียต่างก็มีประโยชน์กันคนละแบบ คุณไม่จำเป็นต้องใช้อย่างใดอย่างหนึ่งแต่คุณสามารถใช้มันควบคู่กันไปได้