คลังเก็บผู้เขียน: F5 Thailand

เกี่ยวกับ F5 Thailand

อัปเตตข่าวสารเรื่องราวที่น่าสนใจเกี่ยวกับเทคโนโลยีและไลฟ์สไตล์

แอร์ติดผนังยี่ห้อไหนดี ประหยัดไฟ ทนทาน ติดตั้งแล้วคุ้มค่า 2024

แอร์ติดผนังคืออะไร?

หากพูดถึงเครื่องใช้ไฟฟ้าที่หลายบ้านต้องมี คงหนีไม่พ้น “เครื่องปรับอากาศ” หรือ “แอร์” อย่างแน่นอน เนื่องจากประเทศไทยมีสภาพอากาศที่ร้อน การใช้พัดลมเพียงอย่างเดียวคงไม่เพียงพอที่จะให้ความเย็นสดชื่นแก่เราได้ แต่การเลือกซื้อ “แอร์ติดผนัง” ที่มีประสิทธิภาพทั้งในเรื่องการใช้งานและราคาคุ้มค่าก็เป็นสิ่งสำคัญ ยิ่งประหยัดค่าไฟฟ้าด้วยยิ่งเป็นเรื่องดี บทความนี้จะช่วยให้คุณเลือก “แอร์ติดผนัง” ได้คุ้มค่ามากที่สุด นอกจากจะสบายกาย สบายใจ แถมยังสบายเงินในกระเป๋าอีกด้วย

แอร์ติดผนังคืออะไร?

แอร์ติดผนัง หรือที่เรียกว่า “Wall Type Air Conditioner” คือเครื่องปรับอากาศที่ติดตั้งยึดกับผนังของห้อง มีขนาดเล็กกะทัดรัดและเหมาะสำหรับการติดตั้งในพื้นที่ต่างๆ เช่น ห้องนอน ห้องรับแขก หรือห้องนั่งเล่น โดยปกติแล้ว แอร์ติดผนังจะมีขนาด BTU เริ่มต้นที่ 9,000 BTU ซึ่งทำให้คุณสามารถเลือกขนาดที่เหมาะสมกับขนาดของห้องได้อย่างหลากหลาย

แอร์ติดผนังมีข้อดีหลายประการ เช่น ทำงานได้เงียบสงบ ไม่ก่อให้เกิดเสียงรบกวน และมีดีไซน์ที่สวยงามและทันสมัย ขนาดที่กะทัดรัดทำให้แอร์กลมกลืนไปกับผนังห้องได้อย่างดี นอกจากนี้ยังมีหลากหลายยี่ห้อและรุ่นให้เลือก ซึ่งแต่ละยี่ห้ออาจมีคุณสมบัติและฟังก์ชันที่แตกต่างกันไป ทำให้คุณมีตัวเลือกมากมายในการเลือกแอร์ที่ตอบโจทย์ความต้องการ

แอร์แขวนกับแอร์ติดผนังต่างกันอย่างไร?

แอร์แขวน (Ceiling Type) และแอร์ติดผนังมีความแตกต่างกันดังนี้

1. ตำแหน่งติดตั้ง แอร์แขวนจะติดตั้งบนฝ้าเพดานห้อง ทำให้มีลักษณะที่แตกต่างจากแอร์ติดผนังซึ่งติดตั้งบนผนัง
2. ขนาดและ BTU แอร์แขวนมีขนาดใหญ่กว่าและมักมี BTU สูงกว่า ทำให้สามารถกระจายความเย็นได้ดีกว่า เย็นเร็วและเย็นมากกว่า เหมาะสำหรับการใช้ในห้องขนาดใหญ่ เช่น ห้องประชุม ห้องโถง หรือห้องอาหาร

3. การทำงาน แอร์แขวนมักทำงานหนักกว่าซึ่งอาจทำให้มีเสียงดังมากกว่า เนื่องจากขนาดของมอเตอร์และตัวเครื่องที่ใหญ่กว่า

อย่างไรก็ตาม แอร์แขวนมีมีข้อจำกัดเมื่อเปรียบเทียบกับแอร์ติดผนัง เช่น ราคาที่สูงกว่าและเสียงดังที่อาจเป็นปัญหาสำหรับผู้ใช้งาน

ประโยชน์ของแอร์ติดผนัง

ก่อนที่จะตัดสินใจเลือกซื้อแอร์ติดผนังสักยี่ห้อนึง เรามาดูข้อดีและประโยชน์ของแอร์ติดผนังกันก่อนดีกว่า แอร์ติดผนังเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับการติดตั้งในทุกห้องของบ้าน เพราะมันมีข้อดีมากกว่าการใช้แอร์ประเภทอื่น และที่สำคัญคือคุณสามารถเลือกแอร์ที่เหมาะสมกับขนาดห้องได้ โดยไม่จำเป็นต้องจ่ายราคาแพงเกินความจำเป็น และมีให้ตัดสินใจเลือกซื้อมากมาย

ข้อดีของแอร์ติดผนัง

1. ราคาเข้าถึงง่าย แอร์ติดผนังมีราคาเริ่มต้นที่ค่อนข้างต่ำ ทำให้เป็นตัวเลือกที่เหมาะสมสำหรับงบประมาณที่หลากหลาย

2. ขนาดกะทัดรัด ด้วยขนาดที่เล็กและการติดตั้งที่ประหยัดพื้นที่ คุณจะไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับการรบกวนพื้นที่ใช้สอยในบ้าน

3. ดีไซน์สวยงาม รูปทรงทันสมัยและสวยงามของแอร์ติดผนังสามารถเป็นส่วนหนึ่งของการตกแต่งบ้านได้

4. ดูแลรักษาง่าย การบำรุงรักษาแอร์ติดผนังทำได้ง่ายและสะดวก รวมทั้งมีฟังก์ชันประหยัดไฟที่ช่วยลดค่าไฟฟ้า

5. หลากหลายขนาด คุณสามารถเลือกขนาดของแอร์ที่เหมาะสมกับห้องของคุณได้ ตั้งแต่ 9,000 ถึง 24,000 BTU

6. ระบบ Inverter ระบบนี้ช่วยให้การควบคุมอุณหภูมิในห้องคงที่และมีความเสถียร ลดการทำงานหนักของเครื่อง

7. เทคโนโลยีที่ทันสมัย แอร์ติดผนังมีการพัฒนาเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง ทำให้มีประสิทธิภาพและความสะดวกสบายที่ดีขึ้น

การเลือกแอร์ติดผนังจึงเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับการเพิ่มความสะดวกสบายและประหยัดพลังงานในบ้านของคุณ

แอร์ยี่ห้อไหนดี? ในปี 2024

1. แอร์ติดผนัง Hisense DB/CE Series​

ยี่ห้อ / รุ่น

Hisense DB/CE Series

BTU

9,000-20,000 BTU

ระบบ

Inverter

ราคา

8,590 - 20,690 บาท

*ราคาอาจมีการเปลี่ยนแปลง ขึ้นอยู่กับโปรโมชั่นและเงื่อนไขการจำหน่ายของร้านค้า

เครื่องปรับอากาศที่มีคุณสมบัติโดดเด่น มาพร้อมเทคโนโลยี Inverter ช่วยประหยัดพลังงานและลดค่าไฟฟ้า ทำความเย็นรวดเร็วและการทำงานที่เงียบ เพื่อให้ห้องของคุณเย็นสบายโดยไม่ถูกรบกวน

 

นอกจากนี้ยังมีหลายขนาดให้เลือกตามความต้องการและฟังก์ชันเสริมที่เพิ่มความสะดวกในการใช้งาน เช่น การควบคุมอุณหภูมิอัตโนมัติและการตั้งเวลาเปิด-ปิด ทำให้รุ่น DB/CE Series เป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับการใช้งานในบ้านหรือสำนักงาน

ข้อดี

2. แอร์ติดผนัง Haier Fixed Speed รุ่น EH-12QEM

ยี่ห้อ / รุ่น

Haier Fixed Speed รุ่น EH-12QEM

BTU

12,000 BTU

ระบบ

ไม่ใช่ Inverter

ราคา

9,290 - 10,890 บาท

*ราคาอาจมีการเปลี่ยนแปลง ขึ้นอยู่กับโปรโมชั่นและเงื่อนไขการจำหน่ายของร้านค้า

ครื่องปรับอากาศ Haier รุ่น EH-12QEMC ขนาด 12,000 BTU มาพร้อมฟังก์ชันที่ตอบโจทย์ทุกความต้องการ เริ่มจากการทำความเย็นที่เร็วขึ้นถึง 47% ด้วยฟังก์ชัน Turbo Cool ทำให้ห้องเย็นสบายในเวลารวดเร็ว ขณะเดียวกันฟังก์ชัน Comfortable Sleep ช่วยปรับอุณหภูมิให้เหมาะสมในขณะนอนหลับเพื่อความสบายสูงสุด

 

นอกจากนี้ยังมีระบบทำความสะอาดตัวเองอัตโนมัติ (Self-Cleaning) ที่ช่วยป้องกันการสะสมของฝุ่นและไรภายในเครื่องเพื่อสุขภาพอากาศที่ดีขึ้นและยืดอายุการใช้งานของเครื่องได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ข้อดี

3. แอร์ติดผนัง Samsung S-Inverter Eco Plus

ยี่ห้อ / รุ่น

Samsung S-Inverter Eco Plus รุ่่น AR13DYHZBWKNST

BTU

12,000 BTU

ระบบ

Inverter

ราคา

12,990 - 13,999 บาท

*ราคาอาจมีการเปลี่ยนแปลง ขึ้นอยู่กับโปรโมชั่นและเงื่อนไขการจำหน่ายของร้านค้า

แอร์ติดผนัง SAMSUNG รุ่น S-Inverter Eco (AR13TYHYBWKNST) ขนาด 12,000 BTU มาพร้อมกับเทคโนโลยี Digital Inverter Boost ที่ช่วยประหยัดพลังงานได้ถึง 73% พร้อมทำความเย็นได้เร็วขึ้นถึง 43% และลดเสียงรบกวนอย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ ยังมีระบบ Easy Filter Plus ที่ป้องกันการสะสมของเชื้อรา แบคทีเรีย และสารก่อภูมิแพ้ต่างๆ

ข้อดี

4. แอร์ติดผนัง Hitachi Inverter รุ่น AJ Series

ยี่ห้อ / รุ่น

Hitachi Inverter รุ่น AJ Series

BTU

8,920 - 22,030 BTU

ระบบ

Inverter

ราคา

13,480 - 34,900 บาท

*ราคาอาจมีการเปลี่ยนแปลง ขึ้นอยู่กับโปรโมชั่นและเงื่อนไขการจำหน่ายของร้านค้า

แอร์ฮิตาชิ รุ่น AJ Series ตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับการประหยัดพลังงาน ด้วยการรับรองจากฉลากเบอร์ 5 และ 3 ดาว ช่วยลดค่าใช้จ่าย มาพร้อม Frost Wash เทคโนโลยีที่ทำความสะอาดแผงคอยล์เย็นโดยการสร้างเกล็ดน้ำแข็ง ซึ่งช่วยชะล้างฝุ่นและเชื้อราได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมตั้งเวลาทำงานตามต้องการ

 

Cascade Vector Inverter ช่วยให้การทำงานราบรื่นและเงียบ คอมเพรสเซอร์ทำงานในรอบต่ำ ช่วยประหยัดพลังงานได้มากขึ้น คอนเดนชิ่งที่เคลือบสาร Green Fin ป้องกันการผุกร่อน ทำให้มีอายุการใช้งานยาวนานขึ้น พร้อมกับแผ่นกรองอากาศที่สามารถกรองฝุ่นได้ถึง 99% ด้วยน้ำยา R32 แอร์รุ่นนี้เย็นเร็วและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมโดยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

ข้อดี

5. แอร์ติดผนัง Daikin Max Inverter Star KQ Series

ยี่ห้อ / รุ่น

FTKQ09YV2S

BTU

9,200 BTU

ระบบ

Inverter

ราคา

18,600 บาท

*ราคาอาจมีการเปลี่ยนแปลง ขึ้นอยู่กับโปรโมชั่นและเงื่อนไขการจำหน่ายของร้านค้า

เครื่องปรับอากาศระบบ Inverter ดีไซน์ Coanda ส่งลมไกลไปตามเพดาน ช่วยให้ความเย็นกระจายทั่วทั้งห้องได้อย่างรวดเร็ว พร้อมแผ่นฟิลเตอร์ที่ช่วยกรองอากาศ ป้องกันฝุ่น PM2.5 และเชื้อโรค อีกทั้งยังลดกลิ่นไม่พึงประสงค์จากเชื้อราและแบคทีเรียด้วยฟังก์ชั่นเป่าไล่ความชื้น ประหยัดค่าไฟ ด้วยค่าประหยัดพลังงานเบอร์ 5 ระดับ 1 ดาว

ข้อดี

6. แอร์ติดผนัง TCL ระบบ Inverter รุ่น TAC-XALCH

ยี่ห้อ / รุ่น

TAC-XALCH

BTU

9,490 - 24,130 BTU

ระบบ

Inverter

ราคา

9,490 - 20,590 บาท

*ราคาอาจมีการเปลี่ยนแปลง ขึ้นอยู่กับโปรโมชั่นและเงื่อนไขการจำหน่ายของร้านค้า

แอร์ TCL เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่ต้องการความเย็นสบายและประหยัดพลังงาน ด้วยเทคโนโลยี Smart Inverter ที่ช่วยลดการสูญเสียพลังงาน ทำให้ประหยัดไฟได้อย่างมีประสิทธิภาพ แม้ในสภาพอากาศที่ร้อนจัด

ตัวเครื่องยังมาพร้อมระบบ Filter Clean Reminder ที่เตือนคุณถึงเวลาทำความสะอาดแผ่นกรองอากาศ เพื่อให้แน่ใจว่าอากาศที่คุณหายใจบริสุทธิ์และสะอาด นอกจากนี้ ท่อน้ำยา 100% Copper Air Pipe และน้ำยา R-32 Refrigerant ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

ยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานและลดผลกระทบต่อธรรมชาติ แม้จะมีฟังก์ชัน Swing ขึ้น-ลงเพียงอย่างเดียว แต่ก็ยังทำให้การกระจายอากาศมีประสิทธิภาพ ทำให้ TCL เป็นตัวเลือกที่คุ้มค่าสำหรับบ้านทุกหลัง

ข้อดี

7. แอร์ติดผนัง CARRIER รุ่น COPPER8 NEW2024

ยี่ห้อ / รุ่น

COPPER 8 NEW2024

BTU

9,000 - 24,000 BTU

ระบบ

Inverter

ราคา

11,599 - 25,999 บาท

*ราคาอาจมีการเปลี่ยนแปลง ขึ้นอยู่กับโปรโมชั่นและเงื่อนไขการจำหน่ายของร้านค้า

แอร์ติดผนัง CARRIER รุ่น COPPER 8 NEW2024 เป็นตัวเลือกสำหรับผู้ที่ต้องการความทนทานและประสิทธิภาพในทุกสภาพอากาศ ด้วยการเคลือบ BLUE FIN COATING ที่ช่วยป้องกันการกัดกร่อน ทำให้คอยล์ทองแดงมีอายุการใช้งานที่ยาวนานยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นแดดแรงหรือฝนตกหนัก สบายใจได้ในเรื่องการบำรุงรักษาและการใช้งาน โดยรวมแล้วเป็นเครื่องปรับอากาศที่ให้ความคุ้มค่าและคุณภาพดีสำหรับทุกบ้าน

ข้อดี

วิธีบำรุงรักษาแอร์ติดผนังเพื่อยืดอายุการใช้งาน

การบำรุงรักษาแอร์ติดผนังอย่างถูกต้องไม่เพียงแต่ช่วยให้เครื่องทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ แต่ยังช่วยยืดอายุการใช้งานและลดค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมด้วย ต่อไปนี้คือวิธีบำรุงรักษาแอร์ติดผนังที่คุณควรรู้

1. ทำความสะอาดฟิลเตอร์

ฟิลเตอร์ของแอร์ติดผนังมีหน้าที่กรองฝุ่นและสิ่งสกปรกออกจากอากาศ การทำความสะอาดฟิลเตอร์เป็นประจำจะช่วยให้การทำงานของแอร์มีประสิทธิภาพมากขึ้นและช่วยป้องกันการสะสมของเชื้อโรคและฝุ่น

1.1. ปิดแอร์และถอดปลั๊ก
1.2. เปิดฝาครอบของยูนิตภายใน
1.3. ถอดฟิลเตอร์ออกมา
1.4. ใช้เครื่องดูดฝุ่นหรือแปรงขนนุ่มทำความสะอาดฝุ่นที่ติดอยู่
1.5. ล้างฟิลเตอร์ด้วยน้ำอุ่นและสบู่อ่อนๆ
1.6.
ทิ้งให้แห้งสนิทก่อนใส่กลับเข้าไป

2. ตรวจสอบและทำความสะอาดคอยล์

คอยล์ (Coil) ที่ทำความเย็นในยูนิตภายในและคอยล์ระบายความร้อนในยูนิตภายนอกควรได้รับการตรวจสอบและทำความสะอาดเป็นระยะ

2.1. ปิดแอร์และถอดปลั๊ก
2.2. ใช้เครื่องดูดฝุ่นทำความสะอาดฝุ่นที่สะสมบนคอยล์
2.3. ใช้แปรงขนนุ่มทำความสะอาดคอยล์อย่างเบามือ
2.4. ถ้าจำเป็นสามารถใช้สารทำความสะอาดคอยล์ที่จำหน่ายในท้องตลาดตามคำแนะนำของผู้ผลิต

3. ตรวจสอบการไหลเวียนของน้ำทิ้ง

แอร์ติดผนังมีระบบการระบายน้ำทิ้งจากการควบแน่นของความชื้น ควรตรวจสอบให้แน่ใจว่าน้ำทิ้งไหลออกไปได้อย่างสะดวก

3.1. ตรวจสอบท่อน้ำทิ้งว่ามีการอุดตันหรือไม่
3.2. ทำความสะอาดท่อน้ำทิ้งหากพบว่ามีสิ่งอุดตัน

4. ตรวจสอบระบบไฟฟ้าและการเชื่อมต่อ

การตรวจสอบระบบไฟฟ้าและการเชื่อมต่อของแอร์ติดผนังเป็นสิ่งสำคัญเพื่อป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้น

4.1. ตรวจสอบสายไฟและการเชื่อมต่อให้แน่น
4.2. ตรวจสอบว่าไม่มีสายไฟที่ชำรุดหรือเกิดการช็อต
4.3. หากพบปัญหา ควรติดต่อช่างมืออาชีพเพื่อตรวจส

5. ตรวจสอบระดับน้ำยาแอร์

การตรวจสอบระดับน้ำยาแอร์ (Refrigerant) เป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้แอร์ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

5.1. หากคุณรู้สึกว่าแอร์ไม่เย็นเหมือนเดิม อาจเป็นไปได้ว่าระดับน้ำยาแอร์ต่ำ
5.2. ติดต่อช่างที่มีความเชี่ยวชาญในการเติมน้ำยาแอร์

6. ดูแลความสะอาดโดยรอบ

ทำให้พื้นที่รอบๆ แอร์สะอาดและปลอดจากสิ่งกีดขวางเพื่อให้การไหลเวียนของอากาศเป็นไปอย่างราบรื่น

6.1 ตรวจสอบให้แน่ใจว่าไม่มีสิ่งของหรือเฟอร์นิเจอร์ที่บังทิศทางการกระจายลมของแอร์
6.2 ทำความสะอาดพื้นที่รอบๆ แอร์เป็นระยะ

7. ตั้งค่าการใช้งานอย่างเหมาะสม

การตั้งค่าแอร์ให้เหมาะสมกับการใช้งานจะช่วยลดภาระการทำงานของเครื่องและประหยัดพลังงาน

7.1. ตั้งอุณหภูมิให้เหมาะสมกับความต้องการ (ประมาณ 24-26 องศาเซลเซียส)
7.2. ใช้ฟังก์ชันการตั้งเวลาและโหมดประหยัดพลังงานหากมี

การบำรุงรักษาแอร์ติดผนังอย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้แอร์ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและยืดอายุการใช้งานของเครื่อง รวมทั้งช่วยประหยัดพลังงานและลดค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซม อย่าลืมทำความสะอาดและตรวจสอบตามขั้นตอนที่กล่าวมาข้างต้นเพื่อให้แอร์ของคุณทำงานได้อย่างสมบูรณ์แบบตลอดปี

จีนขู่! จะตอบโต้ญี่ปุ่นอย่างสาสม หากยังคงจำกัดการส่งออก-ผลิตชิปให้จีน

จีนได้ขู่จะตอบโต้ทางเศรษฐกิจอย่างรุนแรงหากญี่ปุ่นดำเนินการจำกัดการขายและการบริการอุปกรณ์ผลิตชิปให้กับบริษัทจีน เนื่องจากเป็นความพยายามของสหรัฐในการจำกัดความก้าวหน้าในการผลิตชิปของจีน

จีนได้ย้ำถึงท่าทีนี้ในการประชุมกับญี่ปุ่นในช่วงหลัง ๆ ตามแหล่งข่าวที่เกี่ยวข้อง การควบคุมใหม่ที่เกี่ยวกับเซมิคอนดักเตอร์ทำให้ Toyota Motor กังวลว่าจีนอาจตอบโต้ด้วยการตัดญี่ปุ่นจากการเข้าถึงแร่ธาตุหายากสำหรับการผลิตรถยนต์

Toyota เป็นหนึ่งในบริษัทที่สำคัญของญี่ปุ่นและมีส่วนเกี่ยวข้องอย่างมากกับนโยบายชิปของประเทศ รวมถึงการลงทุนในโครงการชิปใหม่ที่ Taiwan Semiconductor Manufacturing Company กำลังสร้างใน Kumamoto ซึ่งทำให้ข้อกังวลของ Toyota เป็นปัจจัยสำคัญสำหรับญี่ปุ่น นอกจากนี้ Tokyo Electron ซึ่งเป็นผู้ผลิตอุปกรณ์เซมิคอนดักเตอร์ยังเป็นที่จับตามองจากมาตรการควบคุมการส่งออกครั้งใหม่

สหรัฐฯ กดดันให้ญี่ปุ่นควบคุมการขายเครื่องมือผลิตชิปขั้นสูงให้กับจีนเพิ่มเติม เพื่อจำกัดความก้าวหน้าของจีนในด้านเซมิคอนดักเตอร์ ขณะเดียวกันสหรัฐฯ กำลังทำงานร่วมกับญี่ปุ่นเพื่อหากลยุทธ์ในการรับประกันแหล่งแร่ธาตุสำคัญ หลังจากที่จีนได้ควบคุมการส่งออกของแกลเลียม, เจอร์เมเนียม และกราไฟต์เมื่อปีที่แล้ว

ในปี 2010 จีนเคยหยุดการส่งออกแร่ธาตุหายากไปยังญี่ปุ่นชั่วคราวหลังจากเหตุการณ์ในทะเลจีนตะวันออก ซึ่งทำให้ภาคอิเล็กทรอนิกส์ของญี่ปุ่นสั่นสะเทือนและปัญหาลุกลามไปถึงการจัดหาแม่เหล็กกำลังสูงที่ผลิตในญี่ปุ่น

รัฐบาลของประธานาธิบดีโจ ไบเดนมีความมั่นใจว่าจะสามารถคลี่คลายข้อกังวลของโตเกียวและบรรลุข้อตกลงกับญี่ปุ่นได้ภายในสิ้นปีนี้ แต่มีทางเลือกที่รุนแรงกว่านั้น โดยสหรัฐฯ ใช้อำนาจตามกฎ FDPR ซึ่งช่วยให้ควบคุมการขายผลิตภัณฑ์ที่ผลิตทั่วโลก

สหรัฐฯ ยังไม่เคยใช้กฎนี้กับญี่ปุ่นและพันธมิตรหลักอื่น ๆ ซึ่งมองว่ามาตรการนี้เป็นขั้นตอนที่รุนแรง รัฐบาลสหรัฐฯ กล่าวว่า พวกเขาต้องการหาทางออกในการเจรจา แต่ก็ยังไม่มองข้ามการใช้กฎ FDPR

การเจรจาอาจมีความยุ่งยากเนื่องจากการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐในเดือนพฤศจิกายนและการวางแผนลาออกของนายกรัฐมนตรีฟุมิโอ คิชิดะในเดือนนี้ อย่างไรก็ตาม การลาออกของคิชิดะไม่น่าจะส่งผลกระทบต่อการเจรจาเพราะโตเกียวได้สร้างฉันทามติในนโยบายนี้ไว้แล้ว

กระทรวงเศรษฐกิจ การค้า และอุตสาหกรรมของญี่ปุ่นและ Tokyo Electron ปฏิเสธที่จะแสดงความคิดเห็นในขณะนี้ ขณะที่ Toyota กล่าวว่า กำลังพิจารณากลยุทธ์การจัดหาที่ดีที่สุดเพื่อให้ตอบสนองความต้องการของลูกค้า และกระทรวงพาณิชย์ของสหรัฐฯ ซึ่งรับผิดชอบเรื่องการควบคุมการส่งออก ไม่ได้ให้ความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้

กระทรวงการต่างประเทศของจีนกล่าวในแถลงการณ์ว่า พวกเขาต่อต้านความพยายามของประเทศใดประเทศหนึ่งในการทำให้การค้าปกติกลายเป็นการเมืองและล่อให้ประเทศอื่นเข้าร่วมการปิดกั้นเทคโนโลยีกับจีน

สหรัฐฯ ได้เปิดเผยการควบคุมการส่งออกชิปอย่างครอบคลุมในเดือนตุลาคม 2022 โดยเน้นทั้งอุปกรณ์และโปรเซสเซอร์ขั้นสูง จนต่อมาญี่ปุ่นและเนเธอร์แลนด์ได้ออกมาตรการตามมาด้วยแต่ไม่ได้เข้มงวดมากนัก ต่อจากนั้น สหรัฐฯ กำลังมองหามาตรการควบคุมใหม่ ๆ รวมถึงมาตรการที่มุ่งเป้าไปที่บริษัทจีนโดยเฉพาะ ซึ่งรัฐบาลญี่ปุ่นก็กำลังพยายามระมัดระวังในการเดินตามนโยบายของสหรัฐฯ เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศ

Instagram ทดสอบฟีเจอร์ใหม่ โชว์เพลงจาก Spotify ที่กำลังฟังอยู่ แบบเรียลไทม์

Instagram กำลังพัฒนาฟีเจอร์ใหม่ที่ช่วยให้ผู้ใช้แชร์เพลงที่กำลังฟังอยู่ได้ง่ายขึ้น โดยล่าสุดได้เริ่มทดสอบการเชื่อมต่อกับ Spotify ฟีเจอร์นี้จะให้ผู้ใช้สามารถแสดงเพลงที่ฟังอยู่ผ่านฟีเจอร์ Notes ของ Instagram

ผู้ใช้จะสามารถแชร์เพลงที่กำลังฟังอยู่กับเพื่อน ๆ ได้แบบเรียลไทม์ โดยข้อมูลเพลงจะแสดงในฟีเจอร์ Notes ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้สามารถแชร์รสนิยมทางดนตรีของตัวเองได้อย่างสะดวก

หากไม่ต้องการให้ผู้อื่นเห็นเพลงที่ฟังอยู่ ผู้ใช้สามารถเลือกเปิดหรือปิดฟีเจอร์นี้ได้ตามความต้องการ การแชร์เพลงที่ฟังอยู่จะทำให้ผู้ใช้เชื่อมต่อและสนทนากับเพื่อน ๆ เกี่ยวกับเพลงที่พวกเขาชื่นชอบได้ง่ายขึ้น

ฟีเจอร์นี้เป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ของ Instagram ที่มุ่งเน้นด้านดนตรี ซึ่งรวมถึงฟีเจอร์อื่น ๆ เช่น สติกเกอร์ “Add Yours Music,” การใช้เพลงใน Notes, การแสดงเนื้อเพลงใน Reels และการแสดงเพลงในโปรไฟล์

แม้ฟีเจอร์นี้อาจจะไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ แต่ก็เพิ่มความน่าสนใจให้กับ Instagram ที่กำลังมุ่งหวังที่จะดึงดูดผู้ใช้ที่ชื่นชอบดนตรีและสร้างประสบการณ์ที่ดีขึ้นในด้านนี้

ที่มา socialmediatoday.com

บัตรกดเงินสด ใช้อย่างไรให้เกิดประโยชน์สูงสุด

เมื่อเผชิญกับสถานการณ์ที่ต้องการเงินสดอย่างเร่งด่วน บัตรกดเงินสดอาจเป็นตัวเลือกที่จำเป็น เพราะมันสามารถช่วยเสริมสภาพคล่องทางการเงินในยามฉุกเฉินได้อย่างรวดเร็ว แต่การใช้บัตรกดเงินสดให้เกิดประโยชน์สูงสุดนั้น จำเป็นต้องเข้าใจทั้งข้อดี ข้อควรระวัง และวิธีการใช้งานอย่างเหมาะสม เพื่อป้องกันการเกิดหนี้สินที่ไม่จำเป็น

บัตรกดเงินสดเป็นสินเชื่อส่วนบุคคลประเภทหนึ่งที่ให้วงเงินสำรองเพื่อการเบิกถอนเงินสดได้ตามต้องการ โดยคุณสามารถสมัครผ่านช่องทางออนไลน์และได้รับบัตรที่ใช้ได้ทันทีหลังจากการอนุมัติ ไม่จำเป็นต้องมีหลักทรัพย์หรือผู้ค้ำประกัน ซึ่งทำให้เป็นตัวช่วยที่สะดวกและรวดเร็วในการจัดการเงินสดในสถานการณ์ฉุกเฉิน

ข้อดีของบัตรกดเงินสด

– สามารถสมัครผ่านออนไลน์ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ใช้เวลาไม่นาน

– ไม่มีค่าธรรมเนียมรายปีหรือติดตามสถานะบัตร

– อัตราดอกเบี้ยเป็นแบบลดต้นลดดอกและคิดดอกเบี้ยตามวันใช้งานจริง

– สามารถกดเงินสดจากตู้ ATM ทั่วประเทศตลอด 24 ชม. หรือโอนเงินผ่านแอปพลิเคชัน

– หากไม่เบิกถอนเงินสดก็จะไม่มีภาระหนี้

ข้อควรระวังในการใช้บัตรกดเงินสด

– มีอัตราดอกเบี้ยสูงสุดประมาณ 25% ต่อปี ซึ่งเป็นอัตราดอกเบี้ยแบบลดต้นลดดอก

– การเบิกถอนเงินจะมีการคิดดอกเบี้ยทันที ตั้งแต่วันแรกที่ทำการเบิกถอน

– ควรมีการวางแผนการชำระคืนเงินต้นและดอกเบี้ยให้ตรงตามกำหนดเพื่อหลีกเลี่ยงค่าปรับ

วิธีการใช้บัตรกดเงินสดให้เกิดประโยชน์สูงสุด

1. เบิกถอนเงินเท่าที่จำเป็น

ใช้บัตรกดเงินสดเพื่อความจำเป็นจริง ๆ และเบิกถอนเฉพาะจำนวนที่จำเป็นเท่านั้น เพื่อลดภาระดอกเบี้ยและหนี้สิน

2. จ่ายเงินคืนตรงเวลา

การจ่ายหนี้ตรงเวลาจะช่วยให้คุณหลีกเลี่ยงค่าปรับและดอกเบี้ยเพิ่ม นอกจากนี้ยังสร้างประวัติการชำระที่ดีซึ่งช่วยในอนาคต

3. ตรวจสอบใบแจ้งหนี้อย่างละเอียด

อ่านเอกสารใบแจ้งหนี้ทุกครั้งเพื่อเข้าใจวันที่สรุปยอด วันครบกำหนดชำระ และการผ่อนชำระสินค้า

4. กำหนดวงเงินการใช้จ่าย

วางแผนการใช้จ่ายและกำหนดวงเงินให้เหมาะสมกับความสามารถในการชำระคืน และควรเก็บเงินสำรองไว้ประมาณ 50% ของวงเงิน

5. รู้จักสิทธิประโยชน์

ใช้สิทธิประโยชน์ต่าง ๆ เช่น การผ่อนชำระ 0% กับร้านค้าที่ร่วมรายการ และบริการอื่น ๆ ที่อาจมีให้

ใครควรใช้บัตรกดเงินสด?

1. พนักงานออฟฟิศหรือบุคคลทั่วไป ที่ต้องการความช่วยเหลือในการเสริมสภาพคล่องทางการเงิน

2. ผู้ที่ต้องการเงินสดเร่งด่วน เช่น ค่ารักษาพยาบาล ค่าซ่อมบ้าน หรือรถยนต์

3. ผู้ที่มีค่าใช้จ่ายอเนกประสงค์ เช่น ค่าเทอม ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าที่พัก

การใช้บัตรกดเงินสดสามารถเป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์ในการจัดการเงินสดในยามที่มีความต้องการเร่งด่วน แต่การใช้มันอย่างมีสติและการวางแผนที่ดีจะช่วยให้คุณสามารถใช้มันได้อย่างคุ้มค่าและป้องกันภาระหนี้ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต

วิธีสร้างรายได้ จากการเขียน Blog

ทุกวันนี้สื่อเข้ามามีบทบาทสำคัญต่อการใช้ชีวิตของคนยุคปัจจุบันเป็นอย่างมาก ใครที่มีสื่ออยู่ในมือ ผู้นั้นมักมีอิทธิพลต่อความคิดและพฤติกรรมของผู้คน ซึ่งในอดีต การจะเป็นเจ้าของสื่อได้นั้น จำเป็นต้องมีเงินทุนมหาศาล แต่ในปัจจุบัน ผู้คนเข้าถึงอินเตอร์เน็ตได้มากขึ้น ทั้งมีราคาถูก ยืดหยุ่น และเข้าถึงง่าย แถมมีแพลตฟอร์มอำนวยความสะดวกมากมาย ทำให้เราสามารถเป็น ‘เจ้าของสื่อ’ ได้ไม่ยาก

Weblog หรือ Blog (บล็อก)เกิดขึ้นมานานแล้ว ในอดีต การที่จะมีเว็บไซต์เป็นของตัวเองได้นั้น ต้องว่าจ้างโปรแกรมเมอร์พัฒนาระบบขึ้นมา ค่าใช้จ่ายในการพัฒนาก็ถือว่าไม่น้อยเลย แต่ในปัจจุบันมีแพลตฟอร์มให้เลือกใช้มากมาย ที่สำคัญ คือ ฟรี! และใช้งานไม่ยาก ผู้ที่ไม่มีความรู้ด้านโปรแกรมมิ่งก็สามารถใช้งานได้

เราสามารถสร้างบล็อกเป็นของตัวเองได้อย่างไรบ้าง?

จุดเริ่มต้น ผู้เขียนเองก็เริ่มเขียนบทความโดยใช้เว็บบล็อกที่ให้บริการฟรีอย่าง blogger.com (บล็อกเกอร์.คอม) (เจ้าของเดียวกับ Google) ก่อนที่จะหันมาศึกษาเทคนิคการเขียนโปรแกรมอย่างจริงจัง และใช้เว็บบล็อกสำเร็จรูปอย่าง WordPress (เวิร์ดเพรส) ในภายหลัง

ควรทำบล็อกเกี่ยวกับอะไรดี?

บล็อกก็คือเว็บไซต์เว็บนึง ไม่มีข้อจำกัดที่ตายตัว เราสามารถเขียนบล็อกเกี่ยวกับอะไรก็ได้ เช่น บล็อกเกี่ยวกับการท่องเที่ยว สุขภาพและความงาม อัพเดทข่าวสาร หรือรีวิวสินค้าก็ได้ แล้วแต่เราถนัด ขอแค่เขียนออกมาให้น่าสนใจก็พอ

แล้วเราจะใช้บล็อกหารายได้ ได้อย่างไร?

ถ้าผู้อ่านรู้จักเว็บไซต์ Youtube.com (ยูทิวป์.คอม) อยู่ก่อนแล้ว ก็คงทำความเข้าใจได้ไม่ยาก เนื่องจาก Youtube ใช้หลักการเผยแพร่เนื้อหาโดยใช้วิดีโอ แต่ ‘บล็อก’ จะเผยแพร่เนื้อหาผ่านตัวหนังสือ เมื่อบล็อกของเรากลายเป็นที่รู้จัก ก็มีโอกาสที่แบรนด์จะว่าจ้างเราเขียนเนื้อหาเพื่อโปรโมทสินค้า หรือไม่เราก็อาจจะสร้างรายได้โดยการติด Google Adsense (กูเกิล แอดเซนส์) ภายในบล็อกของเราเองก็ได้

Google Adsense คืออะไร แล้วทำอย่างไรเราถึงจะมีรายได้

Adsense เป็นบริการของ Google ที่เปิดโอกาสให้เจ้าของเว็บไซต์สามารถสร้างรายได้ โดยการนำโฆษณามาติดไว้ที่เว็บไซต์ ซึ่งจะแสดงโฆษณาที่มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับเว็บไซต์ของเรา เมื่อมีการคลิกโฆษณาเกิดขึ้น Google ก็จะจ่ายผลตอบแทนให้ โดยโอนเข้าบัญชีธนาคารระหว่างวันที่ 22-25 ของทุกเดือน ในกรณีที่รายได้ของเดือนนั้นมากกว่า $100 ขึ้นไป แต่หากทำยอดไม่ถึง ก็จะถูกนำไปรวมกับรายได้ในเดือนถัดไป

วิธีสมัคร Google Adsense และเงื่อนไขที่ต้องรู้

สามารถสมัครได้ที่เว็บไซต์ https://www.google.com/adsense จากนั้นส่งเว็บไซต์ของเราไปให้ทาง Google ตรวจสอบคุณสมบัติ อาจใช้เวลาประมาณ 3-7 วัน อย่างไรก็ตาม ในเว็บไซต์ควรมีบทความที่มีคุณภาพอย่างน้อย 20 บทความ ถึงจะผ่านการตรวจสอบ แต่หากไม่ผ่าน จะมีอีเมลแจ้งสาเหตุมาให้เราทราบ ก่อนทำการแก้ไขแล้วส่งใบสมัครอีกครั้ง

เมื่อผ่านการตรวจสอบแล้ว บล็อกของเราก็พร้อมทำเงินได้ทันที สิ่งที่ต้องทำในขั้นต่อไป คือ เขียนเนื้อหาให้น่าสนใจ และมีประโยชน์ต่อผู้คน อย่าลืมว่าบทความที่เราเขียนจะยังคงอยู่ไปอีกนานจนกว่าเราจะปิดบล็อกทิ้งไป เพียงเท่านี้เราก็มีรายได้เข้าบัญชีในทุกเดือนแล้วล่ะ

รวยด้วย Affiliate โพสต์สินค้ารับรายได้จากเว็บดัง

Affiliate (แอฟฟิลิเอท) เป็นการทำการตลาดให้กับเว็บไซต์ขายสินค้าและบริการ เรียกง่าย ๆ คือ เราทำหน้าที่เป็นนายหน้าขายสินค้าออนไลน์นั่นเอง โดยนำลิงก์ไปโปรโมทผ่านช่องทางต่าง ๆ เมื่อลูกค้าซื้อสินค้าผ่านลิงก์ของเรา ก็จะได้รับส่วนแบ่งเป็นค่าคอมมิชชั่น ซึ่งลิงก์นั้นได้แฝงรหัสประจำตัวของเราเอาไว้ โดยเราไม่จำเป็นต้องส่งสินค้า หรือสต็อคสินค้าเอาไว้เอง เพราะหน้าที่ทั้งหมดเป็นของบริษัทเจ้าของสินค้า ซึ่งเทคนิคการหารายได้นี้กำลังเป็นที่นิยมในต่างประเทศ

Affiliate เป็นระบบการตลาดแบบพันธมิตร ที่เว็บไซต์ขายสินค้าดัง ๆ ใช้เพื่อเพิ่มยอดขาย โดยเปิดโอกาสให้บุคคลทั่วไปสามารถเข้าร่วมโครงการได้ อาทิ Amazon, Lazada, Shopee, Advice, Power Buy, Officemate และอื่น ๆ โดยจะมอบผลตอบแทนเป็นรายได้เมื่อมีการสั่งซื้อสินค้าเกิดขึ้น และเว็บไซต์ส่วนใหญ่มักเก็บประวัติการคลิกลิงก์ไว้ประมาณ 30 วัน ภายในระยะเวลาดังกล่าว เราจะยังได้รับค่าคอมมิชชั่นไม่ว่าลูกค้าจะกดสั่งซื้อสินค้าชนิดไหน ในช่วงเวลาใดก็ตาม

นอกจากสินค้าและบริการแล้วก็ยังมีผลิตภัณฑ์ประเภทอื่น ๆ ที่เข้าร่วม Affiliate เช่น บัตรเครดิต สินเชื่อ ประกัน อสังหาริมทรัพย์ โรงแรม ตั๋วเครื่องบิน และอื่น ๆ เราสามารถเลือกโปรโมทอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือจะเลือกโปรโมททั้งหมดเลยก็ได้

เริ่มต้นทำ Affiliate ต้องใช้เงินทุนเท่าไหร่?
แทบไม่ต้องใช้เงินแม้แต่บาทเดียว เพียงแค่เรามีไอเดีย และช่องทางที่ผู้คนสามารถเข้าถึงได้ง่าย ก็สามารถทำ Affiliate ได้แล้ว เดี๋ยวนี้มีแพลตฟอร์ม ให้ใช้งานได้ฟรี ๆ อาทิ Blogspot และ WordPress หรือสื่อสังคมออนไลน์อย่าง Facebook หากต้องการเช่าโฮสติ้งเพื่อสร้างเว็บไซต์ให้เป็นเรื่องเป็นราว ก็สามารถทำได้

เราสามารถทำ Affiliate ได้ทุกที่ ทุกเวลา จะทำเป็นอาชีพเสริม หรืออาชีพหลักก็ได้ ขอแค่มีความขยัน พยายาม และอดทน จริงอยู่ที่ผู้เริ่มต้นอาจจะไม่ประสบความสำเร็จในช่วงแรก แต่พอทำไปสักพักด้วยความไม่ย่อท้อ ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นอาจทำให้ใครหลายคนพอลืมตาอ้าปากได้ หรือมีรายได้เป็นกอบเป็นกำไปเลยก็มี

ทํา Youtube ได้เงินเท่าไหร่ มีคำตอบ!!

หลายคนคงอยากรู้ว่า เหล่าบรรดา Youtuber (ยูทิวป์เบอร์ คำที่ใช้เรียกคนทำคลิปลงยูทิวป์ทั้งหลาย) มีรายได้จากการทำคลิปลงยูทิวป์จริงหรือไม่? วันนี้จะมาตอบในฐานะของคนที่เคยทำ Youtube มาก่อน

จากที่เคยเข้าไปคลุกคลีอยู่กับการทำคลิปลง Youtube อยู่ช่วงนึง ขอบอกตรง ๆ แบบไม่โกหกเลยครับ ว่าการอัพโหลดวิดีโอลงยูทิวป์ทำให้เกิดรายได้ ได้จริง ๆ ซึ่งถ้าคุณทำมันอย่างจริงจังและทำอย่างถูกทาง คุณสามารถทำเงินได้เป็นกอบเป็นกำ เดี๋ยวจะอธิบายว่าทำไมถึงมีรายได้ แล้วรายได้มาจากไหน และถ้าอยากมีรายได้เยอะ ๆ ต้องทำคลิปประเภทไหน

ทำไมถึงใช้คำว่า “เคยทำ Youtube มาก่อน”
ย้อนกลับไปเมื่อ 3 ปีที่แล้ว ผมเคยได้มีโอกาสทำคลิปลงยูทิวป์เล่น ๆ กับเพื่อน ซึ่งตอนนั้นก็ไม่คิดว่าจะทำจริงจังอะไรมากมาย คือก่ะทำเล่น ๆ แหละ ด้วยความอยากรู้อยากลองด้วย โดยคลิปแรกที่อัพโหลดลงไปในยูทิวป์ เป็นคลิปที่จับกระแสในช่วงนั้นมาเล่น “น้องล่า เหนียวไก่หาย” ถ้าทุกคนยังจำได้ ผมเป็น 1 ในคนที่หยิบกระแสนี้มาเล่น ทำให้วิดีโอที่ผมอัพโหลดลงไปมียอดวิวรวมจนถึงปัจจุบัน รวม ๆ แล้วกว่า 4 แสนวิว!!

วิดีโอยอดวิว 4 แสนวิว ได้เงินจาก Youtube กี่บาทกันนะ?
ตอบ ประมาณ 2,500-3,000 บาทครับ ซึ่งแต่ละคนจะได้ไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับผู้ชมคลิปของเราด้วยว่ากดข้ามโฆษณาหรือเปล่า หรือโฆษณาแสดงขึ้นมาหรือไม่ ซึ่งรายได้ตรงนี้จะได้ไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะมีคนเลิกดูวิดีโอจากช่องของเรา แบบนี้เรียกพาสซิฟอินคัม (รายได้ที่เข้ามาในขณะที่เราอยู่เฉย ๆ) ได้เลยนะเนี่ย ทีนี้ให้เราลองจินตนาการถึงคนที่มียอดวิวเกิน 1 ล้านวิวต่อคลิป และทำเดือนนึงเป็นสิบ ๆ คลิป รายได้เดือนนึงรวม ๆ แล้วได้เท่าไหร่ ลองคำนวณกันดูครับ

รายได้มาจากไหน ใครเป็นคนจ่ายให้เรา แล้วจ่ายยังไง?
เคยเห็นคำว่า “ข้ามโฆษณา” หรือคำว่า “Skip” ที่ปรากฎก่อนชมคลิปกันบ้างไหม นี่แหละคือรายได้ของเหล่าคนทำยูทิวป์ทั้งหลาย ทุก ๆ ครั้งที่คุณกดปุ่มข้ามโฆษณาไป เจ้าของช่องจะไม่ได้รับรายได้ แต่ถ้าคุณดูโฆษณาเกิน 5 วินาที หรือดูจนจบ เจ้าของช่องก็จะได้รับส่วนแบ่งค่าโฆษณาจากโฆษณาตัวนั้น ซึ่งผู้ลงโฆษณาจะจ่ายเงินไปให้ทางยูทิวป์ (ในฐานะเจ้าของแพลตฟอร์ม) และยูทิวป์จะแบ่งเงินมาให้เราอีกที (ในฐานะคนทำคอนเทนท์) ซึ่งกี่เปอร์เซนต์นั้นผมก็ไม่ค่อยแน่ใจเหมือนกัน

นอกจากนี้ยังมีป้ายโฆษณาที่ปรากฎอยู่ข้างตัวเล่นวิดีโอ และโฆษณาป้ายสี่เหลี่ยมยาว ๆ ที่ปรากฎในขณะดูคลิป ก็สามารถเป็นรายได้ ได้ด้วยนะครับ

ทำไมยูทิวป์ถึงต้องแบ่งค่าโฆษณาให้คนเจ้าของช่องด้วย?
ถ้าจะให้หยิบยกสุภาษิตไทยมาสัก 1 สุภาษิต คงหนีไม่พ้น “น้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่า” การที่เม็ดเงินจากผู้ประกอบการธุรกิจจะไหลเข้ามาอย่างมหาศาลได้นั้น คอนเทนท์ในยูทิวป์จะต้องมีคุณภาพเสียก่อน ถ้าคนทำคลิป ทำคลิปลงยูทิวป์แล้วไม่ได้อะไรก็คงไม่มีใครอยากทำ จริงมั๊ย? เรียกได้ว่าได้ประโยชน์กันทั้งสองฝ่าย เรามีหน้าที่ทำคลิปวิดีโอให้มีคุณภาพ ส่วนยูทิวป์ก็มีหน้าที่สนับสนุนคนทำคลิปอย่างเรา ๆ นั่นเอง

นอกจากรายได้ที่มาจากยูทิวป์โดยตรงแล้ว สามารถมีรายได้จากทางอื่นได้อีกไหม?
เมื่อเราทำช่องไปแล้วมีผู้ติดตามประมาณหนึ่ง จะเริ่มมีสปอนเซอร์เข้ามาสนับสนุนช่องในรูปแบบการโปรโมทสินค้าและบริการ ซึ่งทางสปอนเซอร์จะติดต่อเราโดยตรง ถ้าผู้ติดตามช่องของเราส่วนใหญ่เป็นกลุ่มเด็ก มีโอกาสที่สปอนเซอร์ประเภทสินค้าเด็กจะเข้ามาสนับสนุนช่อง เอาเป็นว่าอยากได้สปอนเซอร์กลุ่มไหน ก็ให้ทำคลิปในกลุ่มนั้น ซึ่งใครทำคอนเทนท์เกี่ยวกับเด็ก มีโอกาสที่ยอดวิวจะพุ่งขึ้นเร็วมากครับ ขอบอก ๆ

4 วิธีสมัครบัตรเครดิตให้ผ่าน

การสมัครบัตรเครดิตอาจดูเป็นเรื่องยากสำหรับหลายคน แต่หากรู้เคล็ดลับและปฏิบัติตามขั้นตอนที่ถูกต้อง ก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป นี่คือขั้นตอนสำคัญที่ช่วยให้การสมัครบัตรเครดิตของคุณเป็นไปอย่างราบรื่นและประสบผลสำเร็จ

1. ตรวจสอบเงื่อนไขของธนาคาร

แต่ละธนาคารมีเงื่อนไขที่เฉพาะเจาะจงสำหรับการสมัครบัตรเครดิต ดังนั้นควรตรวจสอบคุณสมบัติที่ธนาคารกำหนด เช่น อายุ, ระยะเวลาการทำงาน, และฐานเงินเดือนขั้นต่ำ ซึ่งธนาคารจะพิจารณาความมั่นคงทางการเงินของผู้สมัครเป็นหลัก หากคุณเป็นพนักงานประจำ โอกาสผ่านการอนุมัติมักจะสูงกว่า เนื่องจากมีรายได้ที่มั่นคง สำหรับเจ้าของธุรกิจหรือฟรีแลนซ์ การมีการเดินบัญชีที่ชัดเจนและต่อเนื่องเป็นเวลา 6 เดือนขึ้นไป ก็ช่วยเพิ่มโอกาสในการสมัครบัตรเครดิตให้ผ่านได้เช่นกัน

2. ตรวจสอบประวัติเครดิตบูโร

การตรวจสอบประวัติทางการเงินกับสถาบันเครดิตบูโรเป็นขั้นตอนสำคัญในการสมัครบัตรเครดิต ประวัติที่ดีจะแสดงให้เห็นว่าคุณมีการชำระหนี้ตรงเวลาและไม่มีหนี้ค้างชำระที่มากเกินไป ช่วยเพิ่มโอกาสในการอนุมัติบัตรเครดิต หากคุณไม่มีประวัติการติดบูโรเลย ยิ่งช่วยเพิ่มโอกาสในการได้รับการอนุมัติ ดังนั้นการตรวจสอบและทำความเข้าใจสถานะเครดิตของตนเองก่อนสมัครจะช่วยให้คุณเตรียมตัวได้ดีขึ้น

3. กรอกข้อมูลให้ถูกต้องและครบถ้วน

การกรอกข้อมูลในการสมัครบัตรเครดิตเป็นขั้นตอนที่สำคัญมาก ควรตรวจสอบให้แน่ใจว่าข้อมูลที่กรอกมีความถูกต้องและครบถ้วน หากพบข้อผิดพลาดในการกรอกข้อมูล ควรทำการกรอกใหม่เพื่อหลีกเลี่ยงความสับสน เจ้าหน้าที่จะไม่สามารถติดต่อหากข้อมูลติดต่อไม่ถูกต้อง ซึ่งอาจทำให้ขั้นตอนการพิจารณาล่าช้าหรือถูกปฏิเสธ

4. เตรียมเอกสารให้พร้อม

ก่อนยื่นสมัครบัตรเครดิต ควรตรวจสอบรายการเอกสารที่ธนาคารต้องการอย่างรอบคอบ เช่น สำเนาบัตรประชาชน, หนังสือรับรองรายได้, สลิปเงินเดือน, และ Statement เอกสารที่ครบถ้วนและถูกต้องจะช่วยให้กระบวนการอนุมัติรวดเร็วขึ้น เพราะไม่ต้องมีการขอเอกสารเพิ่มเติม

การสมัครบัตรเครดิตไม่จำเป็นต้องยุ่งยากอย่างที่คิด เพียงปฏิบัติตามขั้นตอนเหล่านี้อย่างครบถ้วน ก็จะเพิ่มโอกาสในการได้รับการอนุมัติได้อย่างมาก

Stranger Things​ 4 สตรีมแล้ววันนี้ รับชมรวดเดียวจบ 7ตอน

กลับมาแล้วกับ Stranger Things 4 ซีรีส์ที่ทุ่มทุนสร้างสุดยิ่งใหญ่ โดยใช้ทุนสร้างตอนละ 30 ล้านเหรียญฯ

สานต่อเรื่องราวต่อจากซีซั่น 3 ซึ่งมีระยะเวลาในเรื่องห่างกันเพียง 6 เดือนเท่านั้น ในซีซั่นนี้พูดถึงการหายตัวไปของ ฮ็อปเปอร์ ผู้อุปถัมภ์อีเลฟเว่น และกลุ่มเพื่อน ๆ ที่ต้องฝ่าฟันเรื่องราวสุดซับซ้อนในโรงเรียนมัธยมปลาย ที่เต็มไปด้วยภัยคุกคามเหนือธรรมชาติรูปแบบใหม่ที่น่าสะพรึง ลึกลับ และความสยดสยองที่เกิดขึ้นของโลกกลับด้าน

 

เรื่องราวจะลงเอยอย่างไร มาร่วมลุ้นกันได้ใน Stranger Things 4 ทาง Netflix รับชม 7 ตอนรวดเดียวจบ

 

วิธีใช้ Context API ใน React.Js

Context คือ React API ที่สามารถส่งข้อมูลข้าม Component ได้โดยไม่ต้องส่งผ่าน Props เป็นทอด ๆ เหมาะกับโปรเจคขนาดใหญ่ ที่ต้องการลดความยุ่งยากในการจัดการข้อมูล

การส่งข้อมูลผ่าน Props แบบเดิม

				
					// Page1.js

 import React from 'react'

 import Page2 from 'Page2'

 class Page1 extends React.Component {

 constructor(props) {

    super(props)

 }

 render() {

 return <Page2 data="สวัสดีชาวโลก!" />

 } 

 export default Page1
				
			

การส่งข้อมูลผ่าน Props แบบเดิม

				
					// Page2.js

 import React from 'react'

 import Page4 from 'Page4'

class Page2 extends React.Component {

   constructor(props) {

      super(props)

   } 

   render() {

      return <Page4 data={this.props.data} />

   }

 } 

 export default Page2
				
			

การส่งข้อมูลผ่าน Props แบบเดิม

				
					// Page4.js

import React from 'react'

class Page4 extends React.Component {

   constructor(props) {

     super(props)

   }

    render() {

      return (

      <div>

         {this.props.data}

      </div>  

       ) //ผลลัพธ์คือ <div>สวัสดีชาวโลก!</div>

   }

 export default Page4
				
			

การส่งข้อมูลผ่าน Props วิธีนี้ ทำให้ต้องส่งข้อมูลไปเป็นทอด ๆ จาก Page1 > Page2 > Page4 เมื่อโปรเจคขยายใหญ่ขึ้น การแก้ไข Props ในแต่ละครั้ง อาจต้องไปไล่แก้ไขทุก ๆ ไฟล์ที่เกี่ยวข้อง ทำให้เกิดความยุ่งยากและเสียเวลา เพราะฉะนั้นลองเปลี่ยนมาใช้ Context แล้วชีวิตจะง่ายขึ้น

การส่งข้อมูลผ่าน Context

วิธีนี้ใช้ได้กับ Functional Component เท่านั้น

				
					// การส่งข้อมูลผ่าน Context

// Page1.js

 import React from 'react'

 import Page2 from 'Page2'

 const MyContext = React.createContext()

function Page1() {

    return (

       <MyContext.Provider value="สวัสดีชาวโลก" />

         <Page2 />

      </MyContext.Provider>

   )

 }

 export { MyContext }

 export default Page1
				
			

ประกาศตัวแปร const ชื่อContext = React.createContext() เพื่อทำการสร้าง Context หากอยากส่งข้อมูลไปใน Component ไหน แค่วางไว้ระหว่าง <ชื่อContext.Provider> วางตรงนี้จ้า </ชื่อContext.Provider> แล้วระบุข้อมูลที่ต้องการส่ง ลงไปในคุณลักษณะ value=”ข้อมูลที่จะส่ง” แค่นี้ข้อมูลก็ถูกส่งไปยัง Component ที่ต้องการแล้ว

				
					// การส่งข้อมูลผ่าน Context

// Page2.js

import React from 'react'

import Page4 from 'Page4'

functions Page2() {

   return <Page4 /> // ไม่ต้องระบุ Props ลงไปใน Component

}

export default Page2
				
			
				
					// การส่งข้อมูลผ่าน Context

// Page4.js

import React, { useContext } from 'react'

import { MyContext } from "./Page1";

const contextData = useContext(MyContext);

function Page4 () {

   return (<>{ contextData }</>) //ผลลัพธ์คือ สวัสดีชาวโลก!

   }

export default Page4
				
			

สังเกตุได้ว่า เราสามารถดึงข้อมูลข้ามไปใช้ในหน้า Page4.js ได้โดยไม่ต้องระบุ Props อะไรลงไปในหน้า Page2.js เลย ไม่ว่าระหว่างทางจะมีกี่ Component ก็ส่งข้อมูลลงไปใน Component ย่อย ๆ ได้ทั้งหมด จะดึงข้อมูลมาแสดงใน Component ไหน ก็แค่ใช้ useContext ดึงข้อมูลออกมานั่นเอง